top of page
ค้นหา

ความผิดปกติทางพันธุกรรมและการป้องกันในเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร

ความผิดปกติทางพันธุกรรมและการป้องกันในเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร

เข้าใจความเสี่ยงทางพันธุกรรมในเด็กจากเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร พร้อมแนวทางป้องกันที่พ่อแม่ควรรู้

เทคโนโลยีช่วยการมีบุตรอย่าง IVF หรือ ICSI ได้กลายเป็นอีกหนึ่งความหวังสำคัญสำหรับคนที่ อยากมีลูก แต่ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก ทว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์ก็มาพร้อมสิ่งที่หลายคนกังวลนั่นคือ “เด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือไม่?”

 

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างความผิดปกติทางพันธุกรรมกับเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้อง ไปจนถึงวิธีการตรวจคัดกรองและการป้องกัน เพื่อเป็นข้อมูลที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

 

เข้าใจพื้นฐานของเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร

แม้หลายครอบครัวจะมีความฝันว่าอยากมีลูกตามธรรมชาติ แต่สำหรับบางคู่การตั้งครรภ์อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เทคโนโลยีช่วยการมีบุตรจึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสบปัญหามีบุตรยาก ได้เข้าใกล้ความฝันของการเป็นพ่อแม่มากขึ้น

 

เทคโนโลยีช่วยการมีบุตรคืออะไร

เทคโนโลยีช่วยการมีบุตร หรือ ART (Assisted Reproductive Technology) คือวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยให้คู่สมรสที่ประสบภาวะมีบุตรยากสามารถมีลูกได้ โดยใช้เทคนิคเฉพาะ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรือการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง (ICSI) เพื่อให้ได้ตัวอ่อนที่แข็งแรงก่อนนำกลับไปฝังในมดลูก

 

ทำไมครอบครัวสมัยใหม่จึงหันมาใช้เทคโนโลยีนี้มากขึ้น

หนึ่งในเหตุผลหลักคือรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่แต่งงานช้าลง มีบุตรในช่วงอายุที่มากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับคุณภาพของไข่และอสุจิที่ลดลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านสุขภาพ เช่น ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลหรือโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

 

อีกด้านหนึ่ง ความก้าวหน้าของคลินิกปรึกษามีบุตรยากที่ให้คำแนะนำและการดูแลแบบครบวงจร ทำให้คู่รักที่อยากมีลูกกล้าที่จะเข้ามาปรึกษาและตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้นเพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ช่วยเติมเต็มความฝันของการสร้างครอบครัวได้จริง

 

ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่อาจพบในเด็กที่เกิดจาก ART

แม้เทคโนโลยีช่วยการมีบุตรจะเปิดโอกาสให้คู่รักที่อยากมีลูกได้สัมผัสประสบการณ์การเป็นพ่อแม่ แต่ปัญหาสำคัญที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงคือเรื่องความเสี่ยงของ “ความผิดปกติทางพันธุกรรม” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หลายครอบครัวกังวล การทำความเข้าใจปัจจัยที่เกี่ยวข้องและวิธีรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจ

 

ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม

ความผิดปกติทางพันธุกรรมสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของร่างกาย เช่น ความผิดปกติของโครโมโซม การถ่ายทอดยีนที่มียีนกลายพันธุ์จากรุ่นพ่อแม่ หรืออายุของบิดามารดาที่มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพของเซลล์สืบพันธุ์ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะตั้งครรภ์ตามธรรมชาติหรือผ่านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (ART) โดยในปัจจุบัน เทคโนโลยีด้านอณุพันธุศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทในการตรวจคัดกรองตัวอ่อน รวมไปถึงประเมินความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกหลาน จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ทารกที่ปราศจากโรคทางพันธุกรรม

 

ความแตกต่างระหว่างความเสี่ยงทางธรรมชาติและจาก ART

ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติหรือด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (ART) ต่างก็มีโอกาสเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมได้ทั้งสิ้น โดยปัจจัยหลักมักเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดยีนจากพ่อแม่ รวมถึงอายุของมารดาที่มากขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงทางโครโมโซม

 

อย่างไรก็ตาม ART ก็มีข้อได้เปรียบตรงที่สามารถนำตัวอ่อนมาทำการตรวจคัดกรองด้วยวิธี Preimplantation Genetic Testing (PGT) เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของโครโมโซมก่อนการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก จึงช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้ทารกแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

 

ตัวอย่างความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ควรทำความเข้าใจ

ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่พบบ่อยและควรรู้จัก ได้แก่

  • ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) : เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง

  • ไตรโซมี 18 (Trisomy 18) และ ไตรโซมี 13 (Trisomy 13) : ซึ่งสัมพันธ์กับพัฒนาการและสุขภาพของเด็กตั้งแต่แรกเกิด

  • โรคทางพันธุกรรมแบบยีนเดี่ยว (Single-gene disorders) : เช่น ธาลัสซีเมีย ที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อหรือแม่ได้

  • ความผิดปกติจากยีนที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ : ซึ่งบางกรณีอาจสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังในอนาคต

 

วิธีการตรวจคัดกรองและป้องกันความผิดปกติทางพันธุกรรม

หลายคนยังมีความกังวลเรื่องความผิดปกติทางพันธุกรรมจากเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร โชคดีที่ปัจจุบันมีวิธีการตรวจคัดกรองและป้องกันที่ทันสมัยและมีความแม่นยำสูง ซึ่งช่วยให้พ่อแม่สามารถวางแผนตั้งครรภ์ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

 

การตรวจพันธุกรรมก่อนการฝังตัวอ่อน (PGT)

PGT (Preimplantation Genetic Testing) คือเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมหรือยีนในตัวอ่อนก่อนจะทำการย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ขั้นตอนนี้ช่วยคัดเลือกตัวอ่อนที่มีความสมบูรณ์ที่สุด ลดความเสี่ยงของการแท้งและโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือดาวน์ซินโดรม

 

การตรวจคัดกรองระหว่างตั้งครรภ์

หลังจากการตั้งครรภ์ยังมีวิธีการตรวจคัดกรองที่ช่วยยืนยันความสมบูรณ์ของทารก เช่น

  • NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) : การตรวจเลือดมารดาเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงโครโมโซมผิดปกติ

  • Amniocentesis : การเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมโดยตรงจากทารก

  • Chorionic Villus Sampling (CVS) : การเก็บตัวอย่างรกมาตรวจหาความผิดปกติ

 

 

การเลือกใช้คลินิกและห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน

นอกจากเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการเลือกคลินิกปรึกษามีบุตรยากและห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน ทั้งในด้านเครื่องมือ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน เพราะปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อความปลอดภัยและความแม่นยำของผลตรวจ การตัดสินใจอย่างรอบคอบจึงเป็นก้าวสำคัญในการลดความเสี่ยงของความผิดปกติทางพันธุกรรมและสร้างความมั่นใจให้กับครอบครัว

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

 

Q: เด็กที่เกิดจาก ART จะมีพัฒนาการแตกต่างจากเด็กทั่วไปหรือไม่?

A: งานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ว่าเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการมีบุตรมีพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาใกล้เคียงกับเด็กที่เกิดตามธรรมชาติ แต่ความแตกต่างที่พบอาจขึ้นกับปัจจัยด้านสุขภาพของพ่อแม่มากกว่าเทคโนโลยีที่ใช้

 

Q: ความเครียดและไลฟ์สไตล์ของพ่อแม่มีผลต่อพันธุกรรมของลูกไหม?

A: โดยตรงแล้วไม่ทำให้โครงสร้างพันธุกรรมเปลี่ยน แต่ความเครียด การพักผ่อนน้อย และพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ อาจส่งผลต่อคุณภาพของไข่และอสุจิ รวมถึงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวมได้

 

Q: หากครอบครัวมีประวัติโรคทางพันธุกรรม ควรทำอย่างไร?

A: แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ด้านพันธุศาสตร์หรือคลินิกปรึกษามีบุตรยากเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล และพิจารณาการตรวจพันธุกรรมก่อนการตั้งครรภ์หรือก่อนฝังตัวอ่อน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการถ่ายทอดโรคสู่ลูก

 

วางแผนอนาคตครอบครัวอย่างมั่นใจกับสยาม เฟอร์ทิลิตี้ คลินิก

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีช่วยการมีบุตรไม่เพียงช่วยเติมเต็มความฝันของคู่รักที่อยากมีลูก แต่ยังมอบทางเลือกที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ หากได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน 

 

สำหรับผู้ที่กำลังมองหา คลินิกปรึกษามีบุตรยาก  สยาม เฟอร์ทิลิตี้ คลินิก คือคลินิกเฉพาะทางที่ได้รับความไว้วางใจจากคู่รักทั่วประเทศ ด้วยเทคโนโลยีระดับสากลและการรับรองจาก RTAC ครอบคลุมการรักษาหลากหลายตั้งแต่ ICSI, IUI, IVF, ฝากไข่ ไปจนถึงตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน โดยมีทีมแพทย์และบุคลากรพร้อมดูแลอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน เพื่อเพิ่มโอกาสการมีบุตรและสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์

 

หากคุณกำลังวางแผนมีบุตรและต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการทำ IUIICSI, IVF , IVF Thailand นัดปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง คลินิกรักษามีบุตรยาก เพื่อประเมินทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ


 
 
 

ความคิดเห็น


Siam Fertility Clinic 
Open Daily : 07.30 am - 4.30 pm

338cc2_fcac418b06134464a0b74aa70f13b494~mv2.png

สยาม เฟอร์ทิลิตี้ คลินิก

 

คลินิกเฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากและมีลูกยาก ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการรับรองมาตรฐานจาก RTAC ซึ่งยืนยันถึงขั้นตอนการรักษาที่ปลอดภัยและได้คุณภาพระดับสากล บริการของเราครอบคลุมทั้ง ทำ ICSI, IUI, เด็กหลอดแก้ว (IVF), ฝากไข่ (Egg Freezing) และ ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน พร้อมทีมพทย์เฉพาะทาง และบุคลากรที่พร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตรและสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ตามความฝันของคุณ

​​Tel : 02 116 5905 #101
Line ID : @siamfertility

WeChat : siamfc

Email : info@siamfertility.com

Address : 361, 3 Thanon Si Ayutthaya, Thung Phaya Thai, Ratchathewi, Bangkok 10400

  • Layer 1
  • Layer 4
  • Layer 3
  • Layer 5
  • Layer 6
  • Layer 7
bottom of page